วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562

เกาะภูกระแต


เกาะภูกระแต


ที่ชื่อภูกระแตเนื่องจากเมื่อในอดีตก่อนสร้างเขื่อนสิรินธร มองจากหมู่บ้านด้านล่างขึ้นไปจะเป็นที่สูง ชาวอีสานเรียกที่สูงว่าภูและบนภู มีกระแตซึ่งเป็นสัตว์ป่าชนิดเดียวกับกระรอก อาศัยอยู่มาก จึงเรียกภูนี้ว่าภูกระแต ต่อมาได้มีการสร้างเขื่อนสิรินธรในปีพ.ศ.2509 และแล้วเสร็จในปีพ.ศ.2512 ซึ่งทำให้น้ำท่วมหมู่บ้านใกล้เคียง ประมาณ 4 หมู่บ้าน ชาวบ้านได้พากันอพยพไปตั้งหลักแหล่งในที่ใหม่ แต่ชาวบ้านบางส่วนนำเงินที่ราชการตอบแทนให้ ซื้อที่ดิน อยู่ใกล้ภูกระแตแทน และทำมาหากินในบริเวณนี้มาจนถึงปัจจุบัน

คุณศริตา ทองเรือง ผู้ใหญ่บ้านโนนกลาง ตำบลโนนกลาง อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เคยเป็นผู้รับเหมา ทำงานเดินระบบสายไฟฟ้า ในบ้านและอาคาร ที่ต่างจังหวัดและในจังหวัดอุบลฯ กับสามี ต่อมาตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านโนนกลางซึ่งเป็นบ้านเกิด จึงคิดอยากจะทำงานช่วยเหลือ รับใช้พ่อแม่ พี่น้องบ้านเกิด ประกอบกับชาวบ้านให้การสนับสนุน และได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อปีพ.ศ.2552 จนถึงปัจจุบันและทำงานพัฒนาหมูบ้านโนนกลาง เส้นทางในการมาท่องเที่ยวที่เกาะภูกระแตมาโดยตลอด จนเป็นที่รู้จัก

เกาะภูกระแต ตั้งอยู่พื้นที่บ้านโนนกลาง หมู่ 11 ตำบลโนนกลาง อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี อยู่บริเวณด้านข้างของตัวเขื่อนสรินธร มีลักษณะเป็นภูเขาเตี้ยๆ มีพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ มีความโดดเด่น ตรงที่มีสภาพเป็นเกาะกลางน้ำ ที่มีความอุดมสมบรูณ์ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ และนั่งเรือชมทัศนียภาพของสายน้ำ โขดหิน และวิถีชีวิตของชาวบ้านในท้องถิ่น ได้ ซึ่งห่างจากตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ 90 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอพิบูลมังสาหารประมาณ 25 กิโลเมตร

เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สงบเงียบ ลมพัดตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเย็นสบาย มีจุดถ่ายรูป ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ผืนน้ำที่กว้างใหญ่ น้ำใสเย็น โขดหินที่เรียงรายน้อยใหญ่สลับกันเหมาะกับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีร้านขายอาหารจากคนในชุมชน มีลานสำหรับกลางเต้นท์แต่ต้องติดต่อกับผู้นำชุมชนก่อนในช่วงหน้าหนาว หน้าร้อนจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเนื่องจากน้ำในเขื่อนสิรินธรลดลง สามารถขับรถข้ามไปยังเกาะภูกระแตได้สะดวก ส่วนในช่วงหน้าฝนน้ำจะท่วมปิดเส้นทางรถยนต์ ต้องเดินทางเข้ามาโดยเรือหาปลาหรือแพของชาวบ้านเท่านััน






แผนที่


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี 

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นตามจุดมุ่งหมายของการพัฒนากิจการพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและเพื่อให้เป็นศูนย์อนุรักษ์ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น และให้บริการทางการศึกษาเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง


อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2532 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.2544

การจัดแสดงนิทรรศการถาวรภายในพิพิธภัณฑ์ มุ่งเน้นเรื่องราวด้านต่างๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ชาติพันธุ์วิทยา ศาสนาและการปกครอง โดยแบ่งการจัดแสดงนิทรรศการออกเป็น 10 ห้อง ดังนี้

ห้องที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานี
จัดแสดงข้อมูลทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานี แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้ง การแบ่งเขตการเมืองการปกครอง และเส้นทางคมนาคม ตราประจำจังหวัด ภาพถ่ายแหล่งท่องเที่ยว และสถานที่สำคัญทั้งทางด้านวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ


ห้องที่ 2 ภูมิศาสตร์ทัพยากรธรณีวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดแสดงข้อมูลการกำเนิดโลก แผนที่ลักษณะธรณีวิทยาที่ราบสูง ซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ เรื่องราวของไดโนเสาร์ ตัวอย่างแร่และหินขนาด และการขุดพลอยในเขตจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น

ห้องที่ 3 สมัยก่อนประวัติศาสตร์
จัดแสดงข้อมูลและหลักฐานทางโบราณคดี ประกอบด้วย โบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในเขตจังหวัดอุบลราชธานี เช่น เครื่องมือหิน กลองมโหระทึก ภาชนะดินเผารูปทรงต่างๆ เครื่องใช้และเครื่องประดับสำริด รวมทั้งอาวุธที่ทำจากสำริดและเหล็ก ที่ผนังจะมีภาพเขียนสีจำลองจากแหล่งภาพเขียนสีผาแต้ม ซึ่งเป็นแหล่งภาพเขียนสีที่สำคัญในเขตอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

ห้องที่ 4 วัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเจนละ(ขอมหรือเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร)
จัดแสดงโบราณวัตถุในวัฒนธรรมเจนละหรือวัฒนธรรมเขมรก่อนเมืองพระนคร และวัฒนธรรมทวารวดีอายุราว โบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่สุด ได้แก่ อรรธนารีศวร อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 พบในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประติมากรรมที่สลักรูปพระศิวะและพระอุมาผู้เป็นชายา รวมไว้เป็นองค์เดียวกัน ซึ่งทั้งสองต่างเป็นเทพที่เคารพนับถือในศาสนาฮินดู และยังมีเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมร พระพุทธรูปและใบเสมาหินทราย เป็นต้น

ห้องที่ 5 วัฒนธรรมขอมหรือเขมรสมัยเมืองพระนคร
จัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้รับอิทธิพลเขมรสมัยเมืองพระนคร อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 เช่น พระคเณศศิลปะเขมรแบบเกาะแกร์ ทับหลังแบบกำพงพระ ทับหลังแบบปาปวน ศิวลึงค์หินทราย และชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมจากโบราณสถานที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ ภาพสลักเทพนพเคราะห์จากปราสาทบ้านเบญ เป็นต้น

ห้องที่ 6 วัฒนธรรมไทย-ลาว
จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ในวัฒนธรรมไทย-ลาว ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 23-25 โดยเน้นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ทั้งที่ทำจากไม้ สำริด และหินทรายลงรักปิดทอง โบราณวัตถุสำคัญ ได้แก่ พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะลาวหล่อด้วยสำริดที่ฐานมีจารึกสรุปได้ว่า เจ้าอนุวงศ์เป็นผู้ให้หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ.2369 เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก

ห้องที่ 7 ผ้าโบราณและผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานี
จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ประเภทผ้าทอโบราณและผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานี เช่น ผ้านุ่งของสตรีชั้นสูง ผ้าฝ้าย และผ้าไหมทอลวดลายต่าง ๆ

ห้องที่ 8 ดนตรีพื้นเมือง
จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีพื้นเมือง โดยทำหุ่นจำลองนักดนตรีอิสานขนาดเท่าคนจริง กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีแบบต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงมาจากวัสดุธรรมชาติ เครื่องดนตรีที่ใช้สายดีด เช่น พิณสอง พิณสาม เครื่องสายที่มีคันชัก เช่น ซอแบบต่างๆ เครื่องเคาะ เช่น โปงลาง หมากกั๊บแก๊บ

ห้องที่ 9 ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน
จัดแสดงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้พื้นบ้าน เช่น เครื่องทองเหลืองบ้านปะอาว พร้อมขั้นตอนการทำเครื่องทองเหลือง อาทิ เชี่ยนหมาก ผอบ ตะบันหมาก ขัน นอกจากนี้ยังมีเชี่ยนหมากไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเชี่ยนหมากอีสาน จัดแสดงเครื่องมือจับสัตว์น้ำต่างๆ ทั้ง ลอบ ไซ แห ฯลฯ และเครื่องครัวที่ยังสามารถพบได้ในวิถีชีวิตปัจจุบัน เช่น กระติบข้าว ก่องข้าว ครก หวดนึ่งข้าวเหนียว กระต่ายขูดมะพร้าว เป็นต้น

ห้องที่ 10 การปกครองและงานประณีตศิลป์เนื่องในพุทธศาสนา
จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับการปกครองเมืองอุบลราชธานี ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดแสดงภาพถ่ายของบุคคลสำคัญ เครื่องใช้ของเจ้าเมืองอุบลราชธานี และยังมีศิลปวัตถุที่น่าสนใจ เป็นงานประณีตศิลป์เนื่องในพุทธศาสนา ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้ที่มีผู้ศรัทธาถวายเป็นพุทธบูชาตามวัดต่างๆ ในเมืองอุบลราชธานี เช่น ธรรมาสน์ หีบพระธรรม ภาพพระบฏ ตู้พระธรรม รางสรงน้ำ กากะเยีย เชิงเทียน คัมภีร์ใบลาน เป็นต้น






แผนที่


น้ำตกสร้อยสวรรค์

น้ำตกสร้อยสวรรค์

น้ำตกสร้อยสวรรค์ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้มเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สูงประมาณ30เมตร เกิดจากลำน้ำห้วยสร้อยและแซไผ ซึ่งตกจากยอดเขาแล้วไหลมาบรรจบกันก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง มองดูลักษณะคล้ายสายสร้อย จึงได้ชื่อน้ำตกสร้อยสวรรค์ มองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง ผืนป่า หน้าผาหินได้ชัดเจน มีน้ำไหลตลอดปี ซึ่งสายน้ำจะซึ่มไหลเลียบเลาะลงระหว่างผาหิน มีแอ่งน้ำตื้นเล็กๆมากมายเรียงรายตามแนวทางไหลของสายน้ำ ที่บริเวณพลาญหินเป็นจุดชมดอกไม้ป่าหลากสีสันที่งดงามและมีต้นไม้สีเขียวสดละลานตาช่วยเสริมบรรยากาศให้ชุ่มชื่นน่าชม







แผนที่


แก่งสะพือ

แก่งสะพือ

แก่งสะพือ เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัด อุบลราชธานีประมาณ 45 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 217แก่งสะพือเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า"ซำพืด"หรือ"ซำปื้ด" ซึ่งเป็นภาษา ส่วยที่แปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือมแก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ริมแก่งจะมีศาลาพักร้อนตั้งอยู่ สำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมทัศนียภาพของแก่ง ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม แก่งสะพือจะมีผู้นิยมไป เที่ยวกันมาก เพราะน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่ง นอกจากนี้แล้วในเดือนเมษายนของทุกปี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์แก่งสะพือขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบทอดประเพณีอันดีงามไว้ ซึ่งในงานนี้ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก





แผนที่

ช่องเม็ก

ช่องเม็ก


ด่านพรมแดนช่องเม็ก อ.สิรินธร อุบลราชธานี –แขวงจำปาสัก (ไปปากเซ ลาวใต้)  การค้าชายแดน คึกคักมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวซื้อของต้อนรับอาเซียน โดยมากเดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ และมาแบบครอบครัวเดินทางด้วยรถยนต์

ทำไมด่านผ่านแดนนี้จึงคึกคัก เพราะเป็นด่านแห่งเดียวที่จะไป แขวงจำปาสัก เที่ยว จ.ปากเซ ที่ห่างออกไปเพียง 38 กิโลเมตร ในประเทศลาวได้โดยรถยนต์  แขวงจำปาสักเป็นแขวงที่มีเศรษฐกิจสำคัญในลาว และจุดผ่านแดนช่องเม็กนี้เป็นด่านผ่านแดนแห่งเดียวที่ไม่มีแม่น้ำโขงขวางกั้นระหว่างไทย-ลาว

นอกจากนั้นตลาดสินค้าชายแดนร้านค้าปลอดภาษีในเขตประเทศลาว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเที่ยวชมและจับจ่ายสินค้า ได้ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในแขวงจำปาสัก ได้แก่ เมืองปากเซ ปราสาทขอมวัดพู มหานทีสีทันดอน หรือสีพันดอน ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงแผ่กว้างกว่า กิโลเมตร ทำให้มีเกาะแก่งจำนวนมาก และจุดที่น่าสนใจมากคือ น้ำตกหลี่ผี และน้ำตกคอนพะเพ็ง

การข้ามไปฝั่งลาวจะต้องมีบัตรผ่านแดนชั่วคราวซึ่งใช้เที่ยวในลาวได้ 3 วัน 2 คืนเท่านั้น (หากนักท่องเที่ยวมีพาสปอร์ตแล้ว ไม่ต้องทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว) โดยสามารถทำได้แถวๆ จุดตรวจคนเข้าเมือง ด่านเปิดทุกวัน 8.00-18.00 น. ค่าผ่านแดนคนละ 30 บาท เด็กไม่เสียเงิน แต่ต้องระบุในบัตรผ่านแดนชั่วคราวว่าเด็กนั้นเป็นผู้ติดตาม ใช้เวลาทำบัตรประมาณ 20 นาที  สำหรับรถยนต์ที่ต้องการข้ามไปฝั่งลาวต้องทำพาสปอร์ตรถแล้วจะได้สติกเกอร์รูปตัว T (Thailand) ก่อนจึงจะเข้าออกได้ สามารถทำได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลฯ ผู้ขับขี่จะต้องนำสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสำเนาใบเสียภาษีรถยนต์ ไปยื่นเรื่องขออนุญาตด้วย อาจใช้เวลานานมากประมาณครึ่งวันจึงจะเสร็จ

การเดินทางไปด่านผ่านแดนช่องเม็ก


จากตัวเมืองประมาณ 90 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 217 เป็นจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว ที่มีถนนเชื่อมต่อสู่แขวงจำปาสัก

การเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศลาว


ผ่านด่านช่องเม็กนั้นในส่วนของชาวต่าง ประเทศจะต้องใช้หนังสือเดินทาง และทำวีซ่า สำหรับคนไทยทำใบอนุญาตผ่านแดน ที่สำนักงานจังหวัดอุบลราชธานีหรือที่ว่าการอำเภอสิรินธรได้โดยใช้สำเนาบัตร ประชาชน และรูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 3 รูป

ค่าใช้จ่ายฝั่งไทย

ค่าทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว คนละ 30 บาท

ค่าใช้จ่ายฝั่งลาว

ค่าเหยียบแผ่นดิน สปป.ลาว คนละ 20 บาท
ค่าธรรมเนียมท่องเที่ยวลาว คนละ 400 บาท
ค่าธรรมเนียมรถ ค่าใช้ทาง คันละ 800 บาท
ค่าประกันภัยรถ ประมาณคันละ 300 – 500 บาท

ค่าใช้จ่ายขากลับ

หากเกิน 16.00 น. ต้องเสียค่าล่วงเวลาที่ ตม.ฝั่งลาว คนละ 150 บาท ส่วนฝั่งไทย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ




แผนที่


พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ

พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ


วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ (วัดใต้เทิง) หรือวัดใต้ เป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนพรหมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี มีเนื้อที่ตั้งวัด 9 ไร่ 40 – 3 – 10 วา อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำมูล ทางด้านทิศตะวันออก สถานที่ใกล้เคียง สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 ภาค 2 อุบลราชธานี และโรงเรียนเทศบาลบูรพาอุบล
 ความหมายชื่อวัดใต้ (วัดใต้เทิง วัดใต้ท่า) เรื่องเดิมนั้นวัดใต้มีอยู่ 2 วัด คือวัดใต้ท่า (วัดร้าง) ตั้งอยู่ริมน้ำมูล หมายถึงวัดที่ตั้งอยู่ใกล้ติดกับแม่น้ำมูล ภาษาอีสานเรียกว่า “ท่าน้ำ” หมายถึงทางลงแม่น้ำ จึงรียกว่าวัดใต้ท่า คำว่า ใต้ท่า หมายถึง วัดที่ อยู่ใกล้ทางลงแม่น้ำมูล หรือข้างล่าง อยู่ทางทิศใต้ท่าน้ำ, (คำว่าเทิง เป็นสำเนียงภาษาพื้นบ้านทางภาคอีสาน โดยมีความหมายว่า ที่สูง ข้างบนหรืออยู่สูง อยู่เหนือขึ้นไป ดังนั้น วัดใต้เทิง จึงมีความหมายว่า วัดที่ตั้งอยู่เหนือขึ้นไป ถัดขึ้นไปจากวัดใต้ท่าที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำมูล เดิมทีเดียวคงจะชื่อวัดใต้เทิงเพียงสั้นๆ ต่อมาเพื่อให้สื่อความหมายถึงพระประธานในอุโบสถพระนามว่าพระเจ้าองค์ตื้อ จึงได้นำพระนามของพระพุทธรูปมาต่อกับชื่อวัด กลายเป็นวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ

 วัดใต้เทิง ได้จดทะเบียนเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2322 และได้รับวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2441 โดยมีท้าวสิทธิสาร กับ เพี้ยเมืองแสนและราษฎร ได้ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอเป็นวิสูงคามสีมา ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่ 103/378 (ตราประทับอักษรขอม) ว่า ซึ่งมีพระบรมราชโองการ ประกาศไว้แก่คนทั้งปวงว่า “ที่เขตอุโบสถวัดใต้แขวงเมืองอุบลราชธานี โดยยาว 12 วา 1 ศอก กว้าง 7 วา 1 ศอก ท้าวสิทธิสารกับเพี้ยเมืองแสนและราษฎรได้ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอเป็นวิสุงคามสีมา พระเจ้าทรงยินดีอนุโมทนาอนุญาตแล้ว โปรดให้กรรมการปักคำกำหนดให้ตามประสงค์ ทรงพระราชอุทิศนั้นให้เป็นที่วิสุงคามสีมา ยกเป็นแผนกหนึ่งตากหาก จากพระราชอาณาเขต เป็นที่เศษสำหรับพระสงฆ์มาจากทิศทั้งสี่ ทำสังฆกรรม มีอุโบสถกรรม เป็นต้น ประกาศพระราชมานตั้งแต่ วันที่ 29 พฤศจิกายน รศ.117 พระพุทธศาสนกาล 2441 พรรษา เป็นวันที่ 10976 ในรัชกาลปัจจุบัน”

 เมื่อ พ.ศ.2509-2519 ได้ก่อสร้างโบสถ์และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา งวดที่ 5 ลำดับที่ 49 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 96 ตอน 196 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2522 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2522 กำหนดเขตกว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร กองพุทธศาสนสถาน กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2522

 พระพุทธประธานในพระอุโบสถนามว่า พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 51 นิ้ว สูง 85 นิ้ว (รวมฐาน) ได้รับการยกย่องมาว่า เป็นพระพุทธรูป ที่งดงามในประเทศไทยและภาคอีสานเป็นพระประธานองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ตามประวัติในประเทศไทย มีอยู่ 5 องค์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ครองนครเวียงจันทร์ พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ เดิมประดิษฐานอยู่บนแท่นพระอุโบสถหลังเก่า ฐานรองรับสูง 70 เซนติเมตร สร้างแบบง่ายๆ ภายหลังอุโบสถหลังเก่าทรุดโทรม พระเจ้าองค์ตื้อจึงอยู่กลางแจ้ง ตากแดด ตากฝน เป็นเวลานานทำให้องค์พระพุทธรูปองค์ตื้อมีรอยแตก เป็นสะเก็ดออกมา ผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยปู่ย่าตาทวดได้บอกเล่าสืบต่อกันมาว่า "... พระพุทธรูปองค์ตื้อนี้ได้ถูกหุ้มห่อทาปอมพอกเอาไว้พอกด้วยเปลือกไม้ ยางบด ผสมผงอิฐเจ และทองคำ เงิน นาก สัมฤทธิ์ เงิน รางกาชาดซะพอก ให้น้ำเกลี้ยง น้ำชาดผสมทาปอมพอก แล้วลงรักปิดทองที่เข้าเมืองอุบลราชธานี และเถราจารย์ในสมัยนั้น เพราะเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ซึ่งองค์พระพุทธรูปเป็นทองแท้สัมฤทธิ์กลัวว่าจะถูกข้าศึกศัตรูขนเอาไป จึงได้ทาปอมพอกปิดเอาไว้ และปล่อยทิ้งเป็นวัดร้างนานถึง 200 ปี..."

ครั้นต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2507-2508 ครั้งนั้นพระภิกษุสวัสดิ์ ทสฺสนีโย ปัจจุบัน เป็นราชาคณะชั้นราช ที่พระราชธรรมโกศล เป็นเจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ รูปที่ 13 ปัจจุบันและเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ธ) ได้ทำการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น นำพระภิกษุ-สามเณร ทายก-ทายิกา และชาวบ้านชุมชนใกล้กวัด ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2519 เมื่อสร้างฐานแท่นพระพุทธรูปพระประธานเสร็จจึงได้ยกพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อขึ้นประดิษฐานที่แท่นจนถึงปัจจุบันนี้ รวมอายุองค์พระประมาณ 225 ปี

 หมายเหตุ ความหมายคำว่า “ตื้อ” เป็นจำนวนนับของชาวล้านนา หรือภาคอีสาน เช่น หลักหน่วย-สิบ-ร้อย-พัน-หมื่น-แสน-ล้าน-โกฏิ-ตื้อ-อสงไขย นับไปไม่ได้ชาวพุทธได้นำทองคำ เงิน นาก สัมฤทธิ์ จำนวนมากหล่อเป็นพระพุทธรูปที่งดงาม จนหาค่าประมาณมิได้ องค์พระหนักเก้าแสนบาทบนจึงได้ชื่อว่า “พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ” หรือ (พระเจ้าแสนตื้อ)






แผนที่


วัดถ้ำคูหาสวรรค์

 วัดถ้ำคูหาสวรรค์

วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี ก่อตั้งโดย "หลวงปู่คำคนิง จุลมณี" ซึ่งใช้เป็นที่ ปฏิบัติธรรมจำพรรษาปัจจุบันท่านได้มรณภาพแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยบรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่าน ไว้ในโลงแก้วเพื่อบูชา ยังคงถือโอกาส ชมทิวทัศน์แม่น้ำโขงและแม่น้ำสองสี ตลอดจนทิวทัศน์ของฝั่งประเทศตรงข้ามได้อย่างชัดเจน อันเนื่องมาจากบริเวณที่ตั้งของวัดตั้งอยู่บนที่ราบสูง ริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลไหลรวมกัน กลายเป็นแม่น้ำสองสี อย่างสวยงาม รวมทั้งทิวทัศน์ ตัวอำเภอโขงเจียม ภายในบริเวณวัดถ้ำคูหาสวรรค์มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเช่น พระอุโบสถหลังงามสีขาวแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจงสวยงาม ดึงดูดให้เหล่านักท่องเที่ยวแวะเข้าเยี่ยมชมที่นี่อย่างมากมาย นอกจากนี้ภายในวัดถ้ำคูหาสวรรค์ ยังมีพระธรรมเจดีย์ศรีไตรภูมิ ภายในประดิษฐาน พระพุทธรูปปางสมาธิที่สวยงาม สวนตอไม้โดยรอบภายในบริเวณวัดเป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเพราะที่วัดแห่งนี้เป็นศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้ไทย ตอไม้ที่ท่านสังเกตเห็นนั้นหากมองอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ จะเห็นดอกกล้วยไม้ที่สวยงามน่ารักหลากหลายพันธุ์และสี แต่อย่าเดินชมดอกกล้วยไม้ กันเพลิน เพราะยังมี ถ้ำคูหาสวรรค์ ที่อยู่บริเวณด้านหลังวัดให้ทุกท่านไปสำรวจ ถ้ำคูหาสวรรค์ เป็นถ้ำที่เดินไปได้สะดวก ไม่ลึก ภายในถ้ำเป็น ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย มากมายหลายองค์ ด้านในถ้ำเป็นที่ตั้งของโลงแก้วที่บรรจุสรีระที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงปู่คำคนิง จุลมณี พระนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง

การเดินทางไปวัดถ้ำคูหาสวรรค์

จากอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี มาตามเส้นทางหลวงภายเลขเข้าสู่ตัวอำเภอวารินชำราบ ออกจากอำเภอวารินชำราบด้วยเส้นทางหลวง หมายเลข 217 มุ่งไปอำเภอพิบูลมังสาหาร เมื่อผ่านตัวอำเภอจะพบทางแยกซ้ายมุ่งข้ามสะพานพิบูลมังสาหาร เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข2222 ก่อนถึงตัว อำเภอโขงเจียมจะพบวัดถ้ำคูหาสวรรค์อยู่ติดริม





แผนที่